วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักเกี่ยวกับ DHA กันค่ะ เพราะ DHA ถือเป็นสารอาหารที่สำคัญต่อการพัฒนาสมองและสายตาของเด็กทุกช่วงวัย ดังนั้น เด็กจะต้องได้รับ DHA อย่างเพียงพอต่อร่างกาย เพื่อที่จะได้มีพัฒนาการและการเรียนรู้ที่ดีและมีประสิทธิภาพ ดังนั้น วันนี้เราจึงจะพาคุณแม่ไปทำความรู้จักเกี่ยวกับ DHA กันค่ะ ว่า DHA นั้นมีความจำเป็นมากเพียงใด และมีประโยชน์อะไรบ้าง มาตามไปดูพร้อมกันเลย
ดีเอชเอคืออะไร ?
ดีเอชเอ (DHA) คือ กรดไขมันจำเป็นในตระกูลโอเมก้า 3 เป็นโครงสร้างพื้นฐานของเซลล์สมอง และจอประสาทตา ในสมองและเซลล์ประสาทตาจะประกอบไปด้วยกรดไขมันหลายชนิด แต่ชนิดที่มีมากที่สุดคือ ดีเอชเอ โดยจะพบในสมอง 40% และพบในจอประสาทตา 60% เท่ากับเป็นองค์ประกอบหลักของเซลล์สมอง ที่จะช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของปลายประสาท ซึ่งปลายประสาทจะทำหน้าที่ถ่ายทอดสัญญาณและส่งผ่านข้อมูลระหว่างเซลล์สมองด้วยกัน ดีเอชเอ (DHA) จึงถือว่าเป็นสารอาหารบำรุงสมองที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาสมองของเด็ก โดยเฉพาะในช่วง 3 ขวบปีแรก
ประโยชน์ของ DHA มีอะไรบ้าง ?
สำหรับพัฒนาการทางสมองของเด็กจะเริ่มพัฒนาตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์ไปจนถึง 3 ขวบแรก ซึ่งสารอาหารที่มีบทบาทมากที่สุดก็คือ DHA ซึ่งสารอาหาร DHA นั้นถือว่าเป็นสารที่มีความสำคัญสำหรับช่วงวัยเด็กมาก ๆ เพราะเด็กถือเป็นวัยที่อยู่ในช่วงเรียนรู้และการจดจำ ไม่ว่าจะเป็นในด้านการสื่อสาร ภาษา หรือทักษะต่าง ๆ ดังนั้น เด็กควรได้รับ DHA ในปริมาณที่เพียงพอต่อร่างกายเพื่อที่จะได้มีพัฒนาการที่ดี ซึ่งประโยชน์ของ DHA จะมีดังต่อไปนี้
- ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ซึ่งกรดไขมันดีเอชเอ จะช่วยในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันร่างกายให้แข็งแรงขึ้น
- ช่วยเสริมพัฒนาการทางสมอง ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มความจำ รวมถึงทักษะในการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ให้มีการจดจำ และการเรียนรู้ที่ดี
- ป้องกันการเกิดโรคสมาธิสั้น เพื่อที่เด็ก ๆ จะได้สามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว
- ช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพการมองเห็น
บทความที่เกี่ยวข้อง : แคลเซียม สำหรับเด็ก สำคัญอย่างไร กินปริมาณเท่าไหร่ถึงจะดี ?
ปริมาณความต้องการ DHA ในแต่ละช่วงวัย
- เด็ก อายุต่ำกว่า 2 ปี รับประทานปริมาณ 10-12 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ส่วนเด็กอายุ 2 ปี ขึ้นไปอาจรับประทานปริมาณไม่เกิน 250 มิลลิกรัม/วัน
- ผู้ใหญ่ รับประทานอย่างน้อย 250-500 มิลลิกรัม/วัน
- หญิงที่ตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร รับประทานอย่างน้อย 200 มิลลิกรัม หรือรับประทาน DHA ที่ผสมกับ EPA ในปริมาณ 300-900 มิลลิกรัม/วัน
- ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับความทรงจำหรือการรับรู้ รับประทานปริมาณ 500–1,700 มิลลิกรัม/วัน อาจช่วยพัฒนาการทำงานของสมอง
อาหารที่มี DHA สำหรับเด็ก
อะโวคาโด
- จะมี DHA สูงเป็นอย่างมาก ซึ่งควรให้ลูกน้อยรับประทานเป็นอาหารเสริม ถึงแม้ว่าจะมีแคลอรีสูง แต่ก็อุดมไปด้วย DHA และไขมันดี (HDL) ในปริมาณที่สูงเช่นกัน
ปลาแซลมอน
- ปลาแซลมอน เป็นปลาที่มี DHA สูงมากที่สุด ในบรรดาปลาทั้งหมด มีมากถึง 2,000 – 3,000 มิลลิกรัม ต่อ 6 ออนซ์ และยังอุดมด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์อย่างโอเมก้า 3 นอกจากนี้ก็ยังมีปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาทูน่า ปลาโอลาย ปลาทู เป็นต้น
ถั่วเหลือง
- ถั่วเหลือง อุดมไปด้วย DHA และแหล่งโปรตีนชั้นเลิศ ดังนั้นควรเลือกทานอาหารที่ทำจากถั่วเหลืองอย่าง เต้าหู้ จะดีมาก หรือจะดื่มนมถั่วเหลืองเพียงวันละ 1 แก้ว ร่างกายก็ได้รับปริมาณโอเมก้า 3 ที่เพียงพอแล้ว
วอลนัต
- จะประกอบไปด้วยกรด alpha-linolenic (ALA) ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของโอเมก้า 3 และก็เป็นแหล่งกำเนิดของ DHA วอลนัตในปริมาณ 30 กรัม จะให้โอเมก้า 3 ถึง 2,600 มิลลิกรัม สามารถนำมาทานเป็นของกินเล่น หรือลองนำไปประกอบอาหารก็ได้เช่นกัน
บทความที่เกี่ยวข้อง : วิตามิน สำหรับเด็ก จำเป็นอย่างไร เด็กต้องกินวิตามินเสริมไหม?
ข้อควรระวังในการทาน DHA
- สำหรับคนที่กำลังใช้ยารักษาความดันโลหิตควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ DHA
- สำหรับคนที่กำลังใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ DHA
- ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ DHA เพราะอาจส่งผลให้มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น
DHA ถือเป็นอาหารบำรุงสมองที่สำคัญเป็นอย่างมากเลยนะคะ เพราะจะมีส่วนช่วยพัฒนาสมองและการเรียนรู้ของเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นคุณแม่จะต้องให้ความสำคัญในเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น ลูกน้อยควรได้รับปริมาณ DHA ที่เพียงต่อร่างกาย เพื่อที่ลูกน้อยจะได้มีพัฒนาการที่ดีในแต่ละช่วงวัย
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
นมถั่วเหลือง คุณประโยชน์ที่ดีต่อสุขภาพ อร่อยไม่แพ้นมวัว
รวม 5 เมนู ข้าวบด สำหรับลูกน้อย ทำง่าย ได้ประโยชน์เพียบ!
5 เมนูข้าว สำหรับลูกน้อย อร่อย หลากหลาย ได้คุณค่าทางโภชนาการ