เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งปัญหา ที่พ่อแม่มือใหม่หลายคน อาจจะรู้สึกเป็นกังวลไม่น้อย และรู้สึกตกใจกับเสียงหายใจเมื่อ ลูกหายใจครืดคราด ระหว่างที่หลับ เป็นเรื่องอันตรายหรือไม่ แล้วพ่อแม่ควรที่จะรับมืออย่างไร วันนี้ Mamastory จะพาไปหาคำตอบพร้อมกันค่ะ
โดยปกติแล้วไม่ว่าช่วงฤดูไหน สามารถเกิดไข้ หรือเป็นหวัดได้เป็นปกติ แต่สำหรับบ้านที่มีสมาชิกตัวน้อย ที่ภูมิคุ้มกันร่างกายอาจจะยังไม่มากพอ อย่างเด็กแรกเกิด อาจจะเกิดเสียงหายใจครืดคราด เมื่อเวลาคัดจมูก อีกทั้งยังไม่สามารถสั่งน้ำมูกได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นอีกเรื่องที่พ่อแม่ควรจะสนใจ นั่นก็คือการล้างจมูกให้ลูกค่ะ เพราะหากไม่รู้วิธีที่ถูกต้อง เด็กที่ยังเล็กอยู่ อาจสำลักจนเกิดอันตรายก็ได้
สาเหตุที่ ลูกหายใจครืดคราด
1. ลูกแพ้อาหาร
พ่อแม่บางคนอาจจะไม่รู้ว่า การแพ้อาหารบางอย่าง ก็สามารถทำให้หายใจเสียงดังได้เหมือนกัน เพราะการแพ้อาหาร ไม่ได้มีแค่อาการผื่นแดง ตาบวม หรือปากบวม แต่ยังส่งผลยังเยื่อบุโพรงจมูกอีกด้วย จึงไม่แปลกที่ลูกอาจจะมีน้ำมูก หรือเสมหะติดคอ จนทำให้การหายใจมีเสียงดังบ่อย ๆ นั่นเองค่ะ
2. ลูกได้ดื่มนมมากไป
บางบ้านอาจจะใช้วิธีคิดว่า การให้ลูกทานนมเยอะ ๆ เป็นเรื่องที่ดี จะได้โตเร็ว ๆ มีร่างกายที่แข็งแรง แต่ในความเป็นจริงแล้ว การดื่มนมปริมาณที่มากไป ก็ส่งผลลบต่อลูกได้เช่นกัน โดยเฉพาะช่วงแรกเกิด จนกว่าจะถึง 3 เดือนแรก จริงอยู่ที่นมมีคุณค่ามาก แต่ถ้าเมื่อไรที่ลูกร้องแล้วเอาเข้าเต้า ระหว่างที่ร้องไห้และดูดนมไปด้วยนั้น จะทำให้ลูกมีเสียงครืดคราดในคอ เป็นสาเหตุให้น้ำนมล้นออกจากปาก หรืออาเจียนได้
3. มีสิ่งแปลกปลอมเข้าจมูกลูก
ในช่วงแรกของการเติบโต เด็กเป็นวัยที่ช่างสงสัยมาก ลูกน้อยอาจจะมีอาการห่วงเล่น หรือหยิบจับสิ่งของเข้าปาก โดยที่ตั้งตัวไม่ทัน นอกจากนั้นสิ่งของที่ลูกหยิบ บางครั้งอาจจะมีฝุ่นละอองจำนวนมาก ที่อาจทำให้ลูกเป็นภูมิแพ้ในเวลาต่อมาได้ ดังนั้นหากบ้านไหนที่ลูกยังเล็กอยู่ ควรหมั่นรักษาความสะอาด และทำความสะอาดของใกล้มือลูกเป็นประจำ เพื่อไม่ให้ลูกป่วยค่ะ
4. เกิดจากอากาศเย็นเกินไป
ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนมาก พ่อแม่อาจจะกลัวว่าลูกจะร้อน นอนไม่หลับ หรือเป็นผดร้อนได้ จึงปรับอุณหภูมิห้องให้เย็นขึ้น โดยที่ลืมนึกไปว่า การอยู่ห้องแอร์หนัก ๆ หรืออากาศเย็นเกินไป อาจจะทำให้ลูกไม่สบายได้ โดยลูกอาจจะเกิดอาการเยื่อบุจมูกก็จะบวม หลั่งน้ำมูก ในที่อากาศเย็นและแห้ง ที่เป็นสาเหตุให้ลูกหายใจแรง
5. ลูกเป็นกรดไหลย้อน
กรดไหลย้อน ก็อาจเป็นอีกหนึ่งสาเหตุ ที่ทำให้ลูกหายใจแรงได้ค่ะ ซึ่งอาจเกิดได้จากความผิดปกติ ของกล้ามเนื้อหูรูด รอบหลอดอาหารอ่อนแรง ทำให้นมและน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ไหลย้อนกลับมาที่ท่อหลอดอาหาร เป็นเหตุในลูกหายใจลำบาก และหายใจดังครืดคราด
บทความที่เกี่ยวข้อง : PM2.5 อันตรายกับเด็กเล็ก ภัยร้ายทำลายสุขภาพที่แม่ต้องรู้ !
วิธีสังเกตการหายใจลูก
การที่อยากรู้ว่า ลูกหายใจครืดคราด หรือหายใจเสียงดังหรือไม่ สามารถวัดได้ด้วยตัวเอง ด้วยการใช้ส่วนหลังมือหรือแก้ม สัมผัสการหายใจของลูก หรือจะสังเกตจากความชื้นของลมหายใจ ว่าอุณหภูมิเป็นอย่างไร อุ่นหรือร้อนไหมได้เช่นกันค่ะ
อีกหนึ่งการสังเกตว่าลูกหายใจเสียงดังหรือไม่ คือดูได้จากการเคลื่อนไหว บริเวณหน้าท้องและหน้าอก โดยการสังเกตอาจจะใช้มือสัมผัสลูก พร้อมกับจับเวลาประมาณ 1 นาที ซึ่งการสัมผัสนั้นจะต้องสัมผัสเบา ๆ ไม่ควรแรงจนเกินไป เพื่อที่จะลูกจะได้ไม่ตื่นหรือร้องในกลางดึก
นอกจากนี้การหมั่นสังเกต การหายใจของลูก ก็เป็นเรื่องที่พ่อแม่ควรทำเป็นประจำค่ะ ช่วงที่ลูกหลับควรฟังว่า การหายใจมีความผิดปกติไหม เมื่อมีการหายใจแรงขึ้น หรือผิดปกติไปจากเดิม ควรขอคำแนะนำกับแพทย์โดยเร็ว ไม่ควรปล่อยไว้ค่ะ
การล้างจมูกทารกคืออะไร ?
การล้างจมูกทารก เป็นขั้นตอนการทำความสะอาดในโพรงจมูก เพื่อล้างเอาครบน้ำมูก สิ่งสกปรก หรือของเสียอื่นออกมา โดยพ่อแม่สามารถล้างจมูกลูกได้ ตั้งแต่แรกเกิดเป็นต้นไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อลูกมีอาการคัดจมูก แน่นจมูก หรือหายใจไม่ออก ทำได้โดยใช้น้ำเกลือหยอดเข้าไป เพื่อทำความสะอาดรูจมูก
ข้อดีของการใช้น้ำเกลือล้างจมูกคือ สามารถช่วยลดความเหนียวของน้ำมูก ลดการเจริญเติบโตของเชื้อโรค และไม่ระคายเคืองรุนแรงค่ะ แต่ควรใช้น้ำเป็นน้ำเกลือ 0.9% หรือใช้น้ำเกลือขวดขนาด 100 ซีซี ไม่ควรใช้ควรใหญ่ เพราะการเปิด-ปิดใช้งาน อาจทำให้เกิดการสะสมเชื้อโรคแทนค่ะ
อุปกรณ์จำเป็นสำหรับการล้างจมูก
- น้ำเกลือ
- ลูกยางแดง หรือที่ดูดจมูก
- คอตตอนบัตหัวเรียวเล็ก
- ผ้าสะอาด
ขั้นตอนในการล้างจมูก
- หยดน้ำเกลือเข้าจมูก ประมาณ 3 หยด โดยหยดข้างใดข้างหนึ่งก่อน
- บีบลูกยางแดงเพื่อไล่อากาศ แล้วนำปลายลูกยาง สอดเข้าไปในรูจมูกข้างที่หยดน้ำเกลือ คลายแรงบีบออกเพื่อดูดขี้มูก
- เมื่อดูดขี้มูกลูกออกมา แล้วให้บีบทิ้งลงถังขยะ
- ดูดซ้ำหากยังมีขี้มูกเหลืออยู่
- ทำซ้ำที่อีกข้างแบบเดียวกัน
สำหรับบ้านไหนที่เป็นพ่อแม่มือใหม่ ตอนแรกอาจจะต้องช่วยกัน เพื่อไม่ให้ลูกดิ้น หรือหันหน้าหนีจนสำลัก หรือถ้าสะดวกจะทำตอนลูกหลับก็ได้เหมือนกัน ถึงแม้ว่าลูกจะร้องไห้ จนหน้าดำหน้าแดง แต่พ่อแม่ก็ต้องใจแข็งค่ะ เพราะการที่มีขี้มูกอยู่เยอะ ส่งผลให้ลูกหายใจได้ลำบากกว่าอีกค่ะ
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
ลูกนอนกัดฟัน เกิดจากอะไร? พฤติกรรมเหล่านี้ส่งผลอย่างไรต่อลูกน้อย
ลูกอาเจียน (Vomiting) สัญญาณบอกโรคอันตราย ที่พ่อแม่ควรระวัง !