เชื้อไวรัส RSV เป็นการติดเชื้อที่ส่งผลต่อระบบหายใจ เด็กเล็ก หรือทารกจะมีความเสี่ยงมากกว่าผู้ใหญ่ และมีอาการที่รุนแรงมากกว่า สามารถสังเกตอาการที่คล้ายไข้หวัด และการหายใจลำบาก หากพบว่ามีอาการควรพาลูกไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจ และรักษาตามอาการ
ไวรัส RSV คืออะไร
ไวรัส Respiratory Syncytial Virus คือ ไวรัสที่สามารถติดต่อกันผ่านการไอ หรือจาม ในประเทศไทยมักพบเชื้อไวรัสนี้ในฤดูฝน และฤดูหนาว หากได้รับไวรัสชนิดนี้เข้าสู่ร่างกายจะทำให้ร่างกายผลิตสารคัดหลั่งเป็นจำนวนมาก และส่งผลต่อการทำงานของระบบหายใจ เชื้อไวรัสชนิดนี้สามารถติดได้ทุกวัย แต่จะพบได้มากเป็นพิเศษในเด็กเล็ก และเป็นวัยที่ต้องระวัง เพราะอาจเกิดอาการรุนแรง และภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมาได้
เด็กวัยไหนเสี่ยงมากที่สุด ?
เชื้อไวรัสชนิดนี้พบได้บ่อยในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และมักจะติดต่อได้ง่าย ในกลุ่มอาการที่รุนแรงมักพบในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี และจะเสี่ยงต่อการหยุดหายใจ หากพบเชื้อไวรัสชนิดนี้ในเด็กอายุต่ำกว่า 3 เดือน โดยเฉพาะเด็กทารกที่คลอดก่อนกำหนด, เด็กที่มีโรคประจำตัว เช่น ภาวะโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด หรือมีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องไม่แข็งแรง เป็นต้น ด้วยการติดต่อที่ง่าย และสามารถเกิดขึ้นได้กับผู้ใหญ่ด้วย การระมัดระวัง และจัดการกับความเสี่ยงต่อบุตรหลานจึงสำคัญมาก
บทความที่เกี่ยวข้อง : โรคไข้หวัดใหญ่ เกิดจากอะไร ป้องกันอย่างไรให้ห่างไกลจากโรค ?
วิดีโอจาก : Vejthani.Hospital
อาการที่สังเกตได้ในเด็ก
สำหรับเด็กเล็กอาการจะแสดงเมื่อได้รับเชื้อไปแล้วประมาณ 2 – 8 วัน ซึ่งอาจมีอาการรุนแรง สามารถสังเกตได้ ดังนี้
- หายใจผิดปกติมีเสียงหวีดแหลม หายใจเร็ว และหายใจลำบาก
- มีอาการเบื่ออาหาร และซึม
- มีอาการคล้ายไข้หวัดไอ จาม มีน้ำมูก
- อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย
หากเป็นเด็กทารก อาจไม่สามารถสื่อสารความรู้สึกได้โดยตรง ให้สังเกตอาการต่อไปนี้แทน
- ทารกร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา เนื่องจากร่างกายขาดน้ำ
- มีอาการหายใจลำบาก เพราะน้ำมูกเหนียว หายใจเหนื่อย
- ไอและมีเสมหะพบได้หลายสี เช่น สีเหลือง, เทา หรือเขียว
- มีอาการซึม เบื่ออาหาร
- มีไข้ขึ้นสูงกว่า 38 องศาเซลเซียส
- ผื่นขึ้นตามตัว
หากพบว่าเด็กเล็ก หรือทารกมีอาการตามที่กล่าวไป ควรรีบพาเด็กพบแพทย์ให้เร็วที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดการลุกลามของเชื้อไวรัสในระดับที่รุนแรง อาจทำให้เด็กเสี่ยงเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนได้
ภาวะแทรกซ้อนอันตรายจากไวรัส RSV
หากเด็กเล็ก หรือทารกมีร่างกายไม่แข็งแรง อยู่ในกลุ่มเสี่ยง จะทำให้มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนมากขึ้น เช่น โรคหลอดลมฝอยอักเสบ, ปอดบวม, การติดเชื้อในหูชั้นกลาง, โรคหอบหืด หรือการติดเชื้อซ้ำ เป็นต้น โดยการติดเชื้อซ้ำจะไม่ได้มีอาการรุนแรงเท่ากับการติดเชื้อครั้งแรก
การตรวจหาเชื้อไวรัสอาร์เอสวีในเด็ก
หลังจากพาลูกน้อยมาพบแพทย์แล้ว แพทย์จะทำการตรวจขั้นพื้นฐานจากลักษณะทางกายภาพของเด็กก่อน จากนั้นจะทำการตรวจอ่างอื่นเพิ่มเติม ได้แก่
- ตรวจวัดความอิ่มตัวของออกซิเจนในเม็ดเลือด หรือ Pulse Oximetry เพื่อตรวจสอบระดับออกซิเจนว่าปกติหรือไม่
- วัดจำนวนเซลล์ของเม็ดเลือดขาว เพื่อตรวจหาไวรัส หรือแบคทีเรีย และสิ่งแปลกปลอมอื่น ๆ ที่เป็นอันตราย
- ทำการเอกซเรย์บริเวณหน้าอก เพื่อตรวจหาโรคปอดบวม และตรวจหาเชื้อจากสารคัดหลั่งภายในจมูก
การรักษาลูกจากเชื้อ RSV
ปัจจุบันยังไม่มียารักษาโดยตรง แพทย์จะทำการรักษาตามอาการ อาจมีการพ่นยาขยายหลอดลม เพื่อแก้ปัญหาระบบหายใจ ทำให้หายใจได้สะดวกมากขึ้น โดยผู้ปกครองสามารถเสริมการรักษาได้ด้วยการให้เด็กดื่มน้ำเปล่าสะอาดมาก ๆ เพื่อป้องกันเชื้อลงปอด โดยจะใช้เวลาในการรักษาตัวประมาณ 1 – 2 สัปดาห์ อาการจึงจะบรรเทาอย่างเห็นได้ชัด
ป้องกันอย่างไรให้ลูกปลอดภัย
- สวมหน้ากากอนามัยในเด็กเล็ก หากเป็นทารกไม่สามารถใส่ได้ เพราะจะทำให้หายใจไม่สะดวก ควรใช้ผ้าคลุมตัวเด็กแทน
- หมั่นล้างมือหากจับสิ่งของใด ๆ ในที่สาธารณะ เมื่อกลับถึงบ้านควรอาบน้ำทำความสะอาดตัวทันที
- ไม่เดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยงเกิดโรคระบาด หรือสถานที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก และไม่เข้าใกล้คนไข้ที่มีเชื้ออยู่
- ดูแลกิจวัตรประจำวันให้ดีทั้งทานอาหารให้ครบ 5 หมู่, พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายบ้าง
- หากมีอาการที่สุ่มเสี่ยง ควรให้ลูกหยุดเรียนก่อน เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อหากมีไวรัสจริง และควรรีบพาลูกไปพบแพทย์ทันที
ไวรัสชนิดนี้มีอาการภาพรวมคล้ายไข้หวัด แต่อันตรายกว่ามาก ยิ่งถ้าเป็นทารก ต้องคอยสังเกตความผิดปกติให้ดี หากเด็กร้องไห้ หรือมีไข้ ไม่ควรปล่อยดูอาการตามเวลา ควรพามาพบแพทย์ก่อนเสมอ เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของทารกเอง
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
โรคไข้เลือดออก ภัยร้ายของลูกตัวน้อยโอกาสเป็นซ้ำได้ถึง 4 ครั้ง
โรคหัด คืออะไร อันตรายหรือไม่ หากลูกเป็นโรคหัดควรทำอย่างไร ?
โรคมือ เท้า ปาก โรคระบาดใกล้ตัวเด็ก สาเหตุ อาการ และวิธีการรักษา