วันนี้ Mamastory จะพามาทำความรู้จักกับโรค โนโรไวรัส โรคร้ายที่เป็นภัยต่อเด็ก ๆ รวมถึงการติดต่อของโรคโนโรไวรัสว่ามาได้อย่างไร ลักษณะของการติดเชื้อ การรักษาโรคโนโรไวรัสและวิธีป้องกันไม่ให้แพร่กระจาย เมื่อคุณพ่อคุณแม่เข้าใจถึงสาเหตุและอาการของโนโรไวรัส ก็สามารถป้องกันตัวเองและลูกน้อยจากการเจ็บป่วยนี้ได้นั่นเองค่ะ
โนโรไวรัส (Norovirus) คืออะไร ?
โนโรไวรัส หรือ Norovirus เป็นไวรัสที่เกี่ยวข้องกับอาหารเป็นพิษ เป็นโรคติดต่อที่ส่งผลต่อระบบทางเดินอาหาร มีการประมาณว่าในแต่ละปีมีผู้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมากถึง 200,000 คน เนื่องจากการติดเชื้อโนโรไวรัส และประมาณ 50,000 คนในจำนวนนี้เสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนของโรค โนโรไวรัสเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของโรคกระเพาะและลำไส้อักเสบเฉียบพลันทั่วโลก และแพร่กระจายผ่านการสัมผัสกับผู้ที่ติดเชื้อ อาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อน หรือการสัมผัสโดยตรงกับพื้นผิวที่ปนเปื้อน
โนโรไวรัส ติดต่อได้ง่าย
โนโรไวรัสเป็นไวรัสที่ทำให้กระเพาะและลำไส้เกิดการอักเสบ ที่สำคัญติดต่อได้ง่ายและรวดเร็ว ซึ่งเป็นสาเหตุทั่วไปของการระบาดของโรคกระเพาะและลำไส้อักเสบเฉียบพลัน จัดอยู่ในกลุ่ม Caliciviridae และมีการแพร่พันธุ์ทั่วโลก โนโรไวรัสติดต่อผ่านการสัมผัสกับสารคัดหลั่งต่าง ๆ อุจจาระหรืออาเจียนของผู้ติดเชื้อ หรือผ่านการกินอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อน ไวรัสจะหลั่งออกมาในอุจจาระหรืออาเจียนของผู้ติดเชื้อเป็นเวลาหลายสัปดาห์หลังจากฟื้นตัว ทำให้ง่ายต่อการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น เชื้อโนโรไวรัสมักจะพบอยู่อาหารอย่าง หอยนางรม น้ำแข็ง ผักและผลไม้สด เป็นต้น
บทความที่เกี่ยวข้อง : โรคมือ เท้า ปาก โรคระบาดใกล้ตัวเด็ก สาเหตุ อาการ และวิธีการรักษา
อาการต่าง ๆ ของโรคโนโรไวรัส
อาการของการติดเชื้อโนโรไวรัส ได้แก่
- คลื่นไส้
- อาเจียน
- ถ่ายเหลว ถ่ายเป็นน้ำ
- ปวดท้อง
- บางครั้งมีไข้
- ปวดศีรษะ
- อ่อนเพลีย
- ปวดเมื่อยตามร่างกาย
โนโรไวรัสเป็นไวรัสที่ติดต่อได้ง่ายซึ่งทำให้เกิดอาการทางระบบทางเดินอาหารอย่างรุนแรง อาการที่พบบ่อยที่สุดของการติดเชื้อโนโรไวรัสคือ อาเจียน ท้องร่วง มีไข้ และปวดท้อง นอกจากนี้ บางคนอาจปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลียทั่วไป และเบื่ออาหาร สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าโนโรไวรัสสามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้ง่าย ดังนั้นจึงควรระมัดระวังในการป้องกันการแพร่กระจายของไวรัส เช่น การล้างมือให้สะอาดและบ่อย ๆ ไม่ใช้ช้อนร่วมกับผู้อื่น กินอาหารที่สะอาดสดใหม่ เป็นต้น
ไม่มีวัคซีนป้องกันการติดเชื้อโนโรไวรัส
น่าเสียดายที่ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อโนโรไวรัส ในขณะที่การวิจัยยังดำเนินอยู่ วัคซีนสำหรับโนโรไวรัสคาดว่าจะยังไม่มีจำหน่ายในอนาคตอันใกล้นี้ วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันตัวเองและครอบครัวจากการติดเชื้อโนโรไวรัสคือการล้างมือที่ดี หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ที่ป่วย และทำความสะอาดและฆ่าเชื้อพื้นผิวที่อาจปนเปื้อนไวรัสเสมอ
บทความที่เกี่ยวข้อง : โรคไข้เลือดออก ภัยร้ายของลูกตัวน้อยโอกาสเป็นซ้ำได้ถึง 4 ครั้ง
การตรวจและการรักษาโรคโนโรไวรัส
การหาเชื้อโนโรไวรัส จะทำโดยการเก็บตัวอย่างจากอุจจาระไปตรวจในแล็บ เพื่อหาเชื้อ เมื่อพบว่าติดเชื้อ การรักษาโนโรไวรัสคือ ต้องพักผ่อน ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อทดแทนการสูญเสียน้ำในร่างกาย ถ้าขาดน้ำมากอาจต้องดื่มเกลือแร่ หรือให้น้ำเกลือทางหลอดเลือด และกินยาตามแพทย์สั่ง ยาเหล่านี้สามารถช่วยแก้อาการคลื่นไส้ อาเจียน และท้องร่วงได้
ในกรณีที่เด็กภูมิต้านทานต่ำ มีอาการรุนแรง เช่น ถ่ายตลอดเวลา ให้รีบพาส่งโรงพยาบาลทันที อาจจะเกิดอาการช็อก ความดันต่ำ ไปจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ ดังนั้นเด็กที่มีอาการรุนแรง ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
สิ่งสำคัญคือต้องดื่มน้ำให้เพียงพอ เนื่องจากภาวะขาดน้ำเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยที่สุดของโนโรไวรัส ไม่ควรใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาโนโรไวรัส เนื่องจากเป็นไวรัส ไม่ใช่แบคทีเรีย
การป้องกันโรคโนโรไวรัส
สุขอนามัยที่ดีเป็นสิ่งสำคัญ ในการป้องกันการแพร่กระจายของโนโรไวรัส ซึ่งรวมถึงการล้างมืออย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะหลังการใช้ห้องน้ำ เปลี่ยนผ้าอ้อม และก่อนเตรียมหรือรับประทานอาหาร ผู้คนควรหลีกเลี่ยงการแบ่งปันอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องใช้ และสิ่งของอื่น ๆ กับผู้ที่ติดเชื้อ สิ่งสำคัญคือต้องทำความสะอาด และฆ่าเชื้อพื้นผิวที่ปนเปื้อน และไม่เตรียมอาหารขณะติดเชื้อหรือมีอาการ สิ่งที่ควรทำเพื่อป้องกันโรคมีดังนี้
- ล้างมือด้วยสบู่ทุกครั้งก่อนและหลังกินข้าว
- ล้างมือด้วยสบู่ทุกครั้งก่อนและหลังเข้าห้องน้ำ
- ดื่มน้ำที่สะอาด
- รับประทานอาหารที่สะอาดปรุงสุก สดใหม่
- ใช้ช้อนกลางทุกครั้งที่กินอาหารร่วมกับผู้อื่น
- ไม่ใช้มือหยิบอาหารให้ผู้อื่น และไม่รับอาหารที่ผู้อื่นหยิบให้ด้วยมือ
พ่อแม่และผู้ปกครองควรสอนให้เด็ก ๆ รักษาความสะอาดด้วยการล้างมือบ่อย ๆ และไม่ควรเอานิ้วเข้าปากหากยังไม่ได้ล้างมือ เมื่อไปโรงเรียนไม่ควรให้ลูกกินข้าวช้อนเดียวกันกับเพื่อน หรือดื่มน้ำแก้วเดียวกัน เพราะโรคนี้อันตรายกว่าที่คิดมาก เพราะยังไม่มีวัคซีนป้องกัน ดังนั้นจึงควรสอนให้เด็ก ๆ รู้จักป้องกันตัวเองจากเชื้อโรคตัวร้ายนี้ค่ะ
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
โรคภูมิแพ้ในเด็ก เกิดได้หลายปัจจัย ลูกน้อยเสี่ยงแค่ไหน ?
โรคทอนซิลโตในเด็ก ปัญหาที่ห้ามละเลย หากไม่อยากให้ลูกเจ็บหนักกว่าเคย !
โรคลมบ้าหมู หรือ โรคลมชักในเด็ก พ่อแม่รู้เท่าทัน ลูกรักก็ปลอดภัย !