เมื่อพูดถึงตัวการโรคร้ายอย่างมะเร็ง อีกหนึ่งอาการป่วยที่ควรต้องพูดถึงนั่นก็คือ มะเร็งอัณฑะ (Testicular Cancer) ที่สามารถเกิดขึ้นได้กับคุณผู้ชายทุกคน แต่ก็เป็นโรคร้ายที่พบได้ไม่บ่อย เรียกได้ว่าไม่ถึง 2% ของโรคมะเร็งทั้งหมดเลยก็ว่าได้
แต่ไม่ใช่ว่าพบได้ไม่บ่อย แล้วจะสามารถละเลยอาการเจ็บป่วยนี้ทิ้งไป วันนี้ Mamastory จะพาไปรู้จักกับโรคนี้ให้มากขึ้นกับโรคที่ทำให้คุณผู้ชายหนักใจได้
มะเร็งอัณฑะ คืออะไร ?
มะเร็งอัณฑะ (Testicular Cancer) เป็นหนึ่งในไม่กี่โรคที่ไม่พบบ่อยนัก ในกลุ่มคุณผู้ชาย เรียกได้ว่ามีโอกาสที่จะมีผู้ป่วยในโรคนี้อยู่ไม่ถึง 2% แถมยังเป็นโรคที่มีความรุนแรงต่ำ และสามารถรักษาให้หายได้ในระยะที่แพร่เชื้อแล้วก็ตาม
มะเร็งอัณฑะโดยส่วนมาก มักพบในกลุ่มผู้ชายที่มีช่วงอายุ 15-35 ปี อีกทั้งผู้ชายที่เป็นหมันตั้งแต่กำเนิด มีโอกาสที่จะเป็นโรคนี้สูงกว่าผู้ชายทั่วไป แต่อย่างที่บอกว่าสามารถรักษาหายได้ แต่ไม่ได้เสมอไปค่ะ เพราะทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับชนิดของเซลล์มะเร็ง ขนาดก้อน อายุและสุขภาพของผู้ป่วยด้วย
ดังนั้นเมื่อผู้ป่วยรู้สึกมีอาการคล้ายจะเป็นมะเร็งอัณฑะ และกังวลว่าจะทำให้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ สามารถตรวจคัดกรองได้ด้วยตัวเองเดือนละ 1 ครั้งเพื่อความสบายใจก็ได้ค่ะ
อาการของมะเร็งอัณฑะ
เมื่อต้องสงสัยว่าตนเองอาจเป็นมะเร็งอัณฑะ ให้รีบเข้าพบแพทย์ เพื่อทำการวินิจฉัยอย่างชัดเจน พร้อมกับได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว ผู้ป่วยโรคมะเร็งอัณฑะสามารถสังเกตอาการตัวได้ ดังนี้
- คลำเจอก้อนแข็งที่อัณฑะ อาจมีหรือไม่มีอาการเจ็บร่วม
- ลูกอัณฑะดูมีขนาดใหญ่ หรือบวมขึ้น
- รู้สึกหนักหรือปวดบริเวณอวัยวะเพศ ขาหนีบ หรือท้องน้อย
- ความต้องการทางเพศลดลง
- หน้าอกโตขึ้นโดยไม่ได้ออกกำลังกาย หรือใหญ่ขึ้นจากน้ำหนัก
- เข้าสู่ภาวะวัยหนุ่มสาวก่อนวัยอันควร
บทความที่เกี่ยวข้อง : ไส้เลื่อน โรคร้ายที่คุณผู้ชายไม่ควรมองข้าม อาการ และการรักษา
สำหรับผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยันว่า เป็นโรคมะเร็งอัณฑะ เมื่อเวลาผ่านไปและมีการกระจายเข้าสู่อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย อาจมีอาการเหล่านี้ร่วมด้วย เช่น
- ปวดหลังส่วนล่าง หรือปวดท้อง
- ปวดศีรษะ หรือรู้สึกมึนงง
- เจ็บแปลบ ชา หรืออ่อนแรงบริเวณต้นขา
- หายใจลำบาก แน่นหน้าอก
แต่ทั้งนี้ อาการที่กล่าวด้านบน อาจจะไม่ใช้อาการบ่งชี้ชัดเจนว่าเป็นมะเร็งอัณฑะเพียงโรคเดียว อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย แต่ผู้ที่มีอาการเหล่านี้ ควรได้รับการตรวจวินิจฉัยอย่างชัดเจน เพื่อหาสาเหตุการเจ็บป่วย อีกทั้งเพื่อรับการรักษาและดูแลที่ถูกวิธี
ประเภทของมะเร็งอัณฑะ
1. มะเร็งอัณฑะชนิดเจิมเซลล์ (Germ Cell Tumors)
ซึ่งชนิดนี้เกิดขึ้นมาจากเจิมเซลล์ เป็นเซลล์ที่ร่างกายใช้ในการผลิตสเปิร์ม ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่พบ มักอยู่ในกลุ่มนี้ แต่ยังสามารถแบ่งออกได้อีก 2 ประเภทย่อย ได้แก่
- เซมิโนมา (Seminomas) : มะเร็งอัณฑะที่มีอัตราการเติบโตหรือแพร่กระจายช้ากว่า
- นอนเซมิโนมา (Non-seminomas) : มะเร็งอัณฑะชนิดที่มีแนวโน้มแพร่กระจายไปสู่เนื้อเยื่ออื่นเร็ว โดยเฉพาะต่อมน้ำเหลือง อีกทั้งยังสามารถแพร่เข้าสู่กระแสเลือดไปยังเนื้อเยื่อส่วนอื่นของร่างกายได้
ซึ่งนอกจากนี้ยังมีการพบเซลล์มะเร็งอัณฑะรูปผสม ที่เกิดจากการที่เซมิโนมามีหลายเซลล์อยู่ร่วมกัน โดยจะได้รับการรักษาคล้ายกับนอนเซมิโนมา
บทความที่เกี่ยวข้อง : กรดไหลย้อน (GERD) อาการอันตรายที่ควรต้องรู้ เพราะเกิดหลังการทานอาหาร !
2. มะเร็งอัณฑะชนิดสโทรมอล (Stromal Tomors)
เป็นมะเร็งที่เกิดขึ้นมาจากสโทรมอลเซลล์ หรือเซลล์เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ซึ่งมีหน้าที่ช่วยเหลือเซลล์หลักในร่างกาย ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่
- มะเร็งเลย์ดิกเซลล์ : มะเร็งประเภทนี้เกิดขึ้นจากเซลล์ที่ใช้ในการผลิตฮอร์โมนเพศชาย
- มะเร็งเซอร์โทไลเซลล์ : มะเร็งที่เกิดขึ้นมาจากเซอร์โทไลเซลล์ ซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่เป็นตัวช่วยเจิมเซลล์ในการผลิตสเปิร์ม
3. มะเร็งอัณฑะทุติยภูมิ (Secondary Testicular Cancer)
คือมะเร็งที่ไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากเซลล์ของอัณฑะ แต่เกิดขึ้นจากการลุกลามมาจากอวัยวะอื่น โดยจะมีชื่อเรียกตามแหล่งกำเนิดของเซลล์มะเร็ง เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง, มะเร็งเม็ดเลือดขาว
สาเหตุของมะเร็งอัณฑะ
ในปัจจุบันยังไม่สามารถหาสาเหตุที่แน่ชัด ของการเกิดเซลล์มะเร็งอัณฑะนี้ได้ แต่ก็มีปัจจัยเสี่ยงอื่น ที่ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งได้ ซึ่งจากการศึกษาได้ผลสรุปว่า “เซลล์มะเร็งอัณฑะส่วนใหญ่ จะมีความผิดปกติของโครโมโซมลำดับที่ 12 ที่เกิดขึ้นเกินกว่าปกติ แต่ในบางครั้งความผิดปกติของโครโมโซม ก็เกิดขึ้นในลำดับหรือรูปแบบอื่น เช่น การมีจำนวนโครโมโซมมากเกินกว่าปกติ เป็นต้น
ปัจจัยเสี่ยงเป็นมะเร็งอัณฑะ
- ภาวะลูกอัณฑะไม่ลงถุง ตั้งแต่เป็นทารกก่อนคลอด
- บุคคลในครอบครัว เคยเป็นมะเร็งอัณฑะมาก่อน
- ผู้ที่มีเชื้อ HIV
- การเจริญที่ผิดปกติของอัณฑะ หรือโรคพันธุกรรมที่ทำให้อัณฑะมีการฝ่อตัว
- อายุ ช่วงอายุที่พบได้บ่อยคือ 15-35 ปี
- เชื้อชาติ พบได้ในคนผิวขาวมากกว่าคนผิวดำ
- ผู้ชายที่เป็นหมันแต่กำเนิด
- เคยบาดเจ็บหรืออักเสบบริเวณอัณฑะ
โรคมะเร็งอัณฑะกับระยะ
- ระยะที่ 1 : เป็นมะเร็งที่เกิดขึ้นเฉพาะในอัณฑะ ยังไม่ลุกลาม ซึ่งมีโอกาสในการรักษาหาย 90-100%
- ระยะที่ 2 : เป็นระยะที่มะเร็งลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลือง ที่อยู่บริเวณช่องท้อง มีโอกาสในการรักษาหาย 80-90%
- ระยะที่ 3 : เป็นระยะที่สารมะเร็งมีปริมาณในเลือดสูง มักแพร่กระจายเข้าสู่สมองและปอด มีโอกาสในการรักษาหาย 50-70%
อย่างไรก็ตามทั้ง 3 ระยะ เป็นการจำกัดความ เพื่อให้แพทย์วางแผนการรักษาได้อย่างถูกต้อง และได้ผลดีต่อคนไข้ที่สุด แต่อย่างไรก็ตาม หากผู้ป่วยรายนั้นมีอาการดื้อต่อรังสีรักษา หรือยาเคมีบำบัด ก็มีโอกาสที่จะรักษาไม่หายได้เช่นกัน
การตรวจคัดกรองอัณฑะด้วยตนเอง ทำอย่างไร ?
การตรวจอัณฑะด้วยตนเอง เป็นเรื่องที่ควรทำเดือนละครั้ง เมื่ออายุเกิน 15 ปีขึ้นไป เพื่อเป็นการคัดกรองโรคมะเร็งอัณฑะให้ได้ ตั้งแต่ในระยะแรก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงสูง
วิธีการตรวจที่ดีที่สุด คือควรทำเมื่อถุงอัณฑะอยู่ในสภาพที่ผ่อนคลาย หรือหลังการอาบน้ำอุ่น โดยใช้นิ้วโป้งและนิ้วอื่น ๆ ไล่คลำบริเวณอัณฑะทั้ง 2 ข้าง เพื่อดูว่ามีก้อนเนื้อหรือไม่ ขณะตรวจควรจับองคชาตออกไป หากพบว่าอัณฑะมีขนาดต่างกัน อยู่ในระดับไม่เท่ากัน ถือเป็นเรื่องปกติ
อย่างที่บอกค่ะว่า โรคมะเร็งอัณฑะ ยังไม่มีวิธีป้องกัน หรือการตรวจคัดกรองที่ได้ผล และมีประสิทธิภาพที่ดีที่สุด ดังนั้นการสังเกตตัวเองอยู่เสมอ และพบแพทย์ทันทีที่มีอาการผิดปกติ ก็จะเป็นการช่วยลดปัจจัยเสี่ยงในการเป็นได้ค่ะ อีกทั้งการรู้ตัวได้ไว ก็สามารถรักษาให้หายได้ไว หากปล่อยทิ้งไว้และไม่ได้รับการรักษา นอกจากจะได้โรคแล้ว ยังสร้างบาดแผลที่กระทบจิตใจคุณผู้ชายอีกด้วยค่ะ
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
ช็อกโกแลตซีสต์ โรคที่ผู้หญิงทุกคนเสี่ยง แต่ถ้ายิ่งปวดหนักยิ่งอันตราย
ลูคีเมีย หรือ มะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคร้ายที่ต้องกังวล หากเครียดหนัก
ไซนัส (Sinus) โรคใกล้ตัวที่น่ารำคาญ รักษาง่าย ไม่ยากอย่างที่คิด อย่าปล่อยไว้ !
ที่มา : 1