อาการท้องผูก สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาในระหว่างตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในช่วงที่อายุครรภ์มากขึ้น ก็อาจทำให้เกิดอาการท้องผูกได้ง่าย หากคุณแม่มีอาการท้องผูก ก็จะทำให้รู้สึกอึดอัด ไม่สบายตัว และทำให้ขับถ่ายอุจจาระได้ลำบากขึ้น วันนี้ Mama Story จะพาคุณแม่ไปดูกันว่า คนท้องท้องผูก เกิดจากอะไร และมีวิธีบรรเทาอาการอย่างไรบ้าง ไปติดตามกันค่ะ
คนท้องท้องผูกเกิดขึ้นได้อย่างไร
คุณแม่หลายคนอาจมีอาการท้องผูกขณะตั้งครรภ์ ซึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอาการท้องผูกนั้น เกิดจากการเพิ่มขึ้นของระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ส่งผลต่อการทำงานของลำไส้ ทำให้ลำไส้เคลื่อนตัวได้ยาก และย่อยอาหารได้ช้าลง จนทำให้เกิดอาการท้องผูกตามมา นอกจากนี้ การเจริญเติบโตของลูกน้อยในครรภ์ยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คุณแม่เกิดอาการท้องผูก เนื่องจากมดลูกที่ขยายตัวใหญ่ ส่งผลให้เกิดแรงดันบริเวณทวารหนักจนเกิดอาการท้องผูกนั่นเอง รวมทั้งการรับประทานยาเสริมธาตุเหล็กในปริมาณมาก ก็อาจส่งผลให้คุณแม่ท้องผูกได้เช่นกัน
บทความที่เกี่ยวข้อง : ท้องผูกหลังคลอด เกิดจากอะไร คุณแม่รับมือการอาการนี้ได้อย่างไรบ้าง?
สาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้แม่ท้องท้องผูก
- ลำไส้แปรปรวน
- ไม่ค่อยออกกำลังกาย
- ไม่รับประทานอาหารที่มีกากใย
- มีนิสัยการขับถ่ายที่ไม่ถูกต้อง
- ลำไส้ทำงานผิดปกติจากการตั้งครรภ์
- รับประทานวิตามินบางชนิดที่มีผลข้างเคียง
ท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์อันตรายไหม
อาการท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์อาจไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่บางครั้งก็อาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ได้ โดยอาการที่อาจเป็นอันตรายร่วมกับท้องผูกนั้น เช่น ถ่ายเป็นมูกหรือเลือด หรือปวดท้องผูกสลับกับท้องเสีย นอกจากนี้ หากคุณแม่มีอาการขับถ่ายลำบากจากการท้องผูก อาจทำให้เกิดริดสีดวงทวารหนักได้ คุณแม่อาจมีเลือดออกขณะอุจจาระ และรู้สึกเจ็บปวดบริเวณทวารหนัก แต่อาการเหล่านี้จะดีขึ้น และหายไปหลังจากคุณแม่คลอดบุตร อย่างไรก็ตามหากคุณแม่มีอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรง และมีเลือดออกบริเวณทวารหนักจำนวนมาก ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาต่อไป
เบ่งอุจจาระลูกในครรภ์จะเป็นอะไรไหม
หากคุณแม่มีอาการท้องผูก แล้วต้องออกแรงเบ่งอุจจาระออก หากเป็นการออกแรงปกติ ไม่รุนแรง และไม่มีเลือดออกมาทางช่องคลอด ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อลูกในครรภ์แต่อย่างใด แต่หากคุณแม่ออกแรงเบ่งอุจจาระมาก ๆ อาจส่งผลเสียต่อร่างกาย ทำให้คุณแม่เกิดโรคริดสีดวงทวารได้ ยิ่งคุณแม่ตั้งครรภ์อยู่ด้วยแล้ว ก็มีโอกาสที่จะเป็นริดสีดวงทวารมากกว่าเดิม ดังนั้นคุณแม่ควรดูแลตัว ไม่เบ่งอุจจาระ และควรรับประทานผักผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูง เพื่อป้องกันโรคริดสีดวงทวารค่ะ
คนท้องท้องผูกมีวิธีรับมืออย่างไร
สำหรับคุณแม่ที่มีอาการท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์ สามารถบรรเทาอาการได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้ชีวิต และการรับประทานอาหารเช่นเดียวกับคนทั่วไป โดยคุณแม่สามารถรักษาอาการท้องผูก ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
1. รับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์
คุณแม่ควรรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์หรือเส้นใยอาหารมากขึ้น เพื่อกระตุ้นการทำงานของระบบขับถ่าย และช่วยบรรเทาอาการท้องผูกให้ดีขึ้น โดยควรรับประทานไฟเบอร์ที่มาจากผัก ผลไม้ และธัญพืชที่ไม่ขัดสีอย่างน้อย 25-30 กรัมต่อวัน เช่น ลูกพรุน ฝรั่ง ผักโขม และอัลมอนด์ เป็นต้น
2. ดื่มน้ำเป็นประจำ
อย่างที่ทราบกันดีว่า การดื่มน้ำสะอาด ช่วยให้ร่างกายได้รับประโยชน์มากมาย ยิ่งหากคุณแม่มีอาการท้องผูกอยู่แล้ว การดื่มน้ำอย่างพอเพียงจะช่วยให้ไฟเบอร์ทำงานได้ดีขึ้น อีกทั้งยังส่งผลดีต่อระบบขับถ่าย นอกจากนี้ยังช่วยให้คุณแม่ได้รับน้ำเพียงพอต่อร่างกาย ช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตของคุณแม่ และลูกในครรภ์ รวมถึงช่วยสร้างน้ำคร่ำที่ช่วยหล่อเลี้ยงทารก โดยคุณแม่ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 10-12 เพื่อสุขภาพที่ดี
3. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
คุณแม่ตั้งครรภ์ส่วนใหญ่ อาจไม่ค่อยออกกำลังกาย เพราะรู้สึกเหนื่อยง่าย อย่างไรก็ตาม หากคุณแม่ไม่ค่อยออกกำลังกาย ก็เสี่ยงที่จะเกิดอาการท้องผูกได้มากกว่าเดิม ดังนั้นคุณแม่ควรหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ โดยอาจออกกำลังกายเบา ๆ อย่างเช่นการเดิน ว่ายน้ำ โยคะ หรือพิลาทิสเป็นต้น คุณแม่อาจต้องปรึกษากับแพทย์ก่อน เพื่อให้แพทย์ช่วยวางแพทย์ ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว คุณแม่ควรสามารถออกกำลังกายได้วันละ 20-30 นาที เพื่อกระตุ้นการทำงานระบบลำไส้ค่ะ
4. ปรึกษาแพทย์เรื่องการใช้อาหารเสริม
การรับประทานอาหารเสริมธาตุเหล็ก เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการท้องผูก หากคุณแม่มีอาการท้องผูกมาก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อปรับเปลี่ยนปริมาณยาธาตุเหล็ก และเน้นการรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ก็จะช่วยลดอาการท้องผูกได้ หากคุณแม่จำเป็นต้องรับประทานยาธาตุเหล็ก ควรปรึกษาแพทย์เพิ่มเติมเกี่ยวกับปริมาณธาตุเหล็กที่ต้องการในแต่ละวัน เพื่อวางแผนการรับประทานอาหารร่วมกับการรับประทานยาเสริม ก็จะช่วยหลีกเลี่ยงอาการท้องผูกได้
5. รับประทานอาหารที่มีโพรไบโอติกส์
โพรไบโอติกส์ (Probiotics) คือ จุลินทรีย์ที่ช่วยในการทำงานของลำไส้ และระบบขับถ่าย สามารถช่วยลดอาการท้องอืด ท้องเสีย และท้องผูกได้ดี อีกทั้งยังช่วยอาการปวดท้องได้ คุณแม่สามารถรับประทานอาหารที่มีโพรไบโอติกส์ได้อย่างโยเกิร์ต และกิมจิ รวมทั้งอาหารเสริมรูปแบบต่าง ๆ เพราะการรับประทานโพรไบโอติกส์ระหว่างตั้งครรภ์นั้น มีความปลอดภัย และสามารถบรรเทาอาการท้องผูกได้ดี ทั้งนี้หากคุณแม่จะรับประทาน ก็ควรเลือกอาหารหมักดองที่สะอาด และควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง
6. ใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์
หากคุณแม่มีอาการท้องผูก และยังไม่สามารถบรรเทาด้วยวิธีการต่าง ๆ ข้างต้น อาจใช้ยาบางชนิดที่มีขายทั่วไป เพื่อช่วยบรรเทาอาการท้องผูก เช่น ผงไฟเบอร์ ที่ช่วยลดอาการท้องผูก และช่วยในการทำงานของระบบลำไส้ เป็นต้น ทั้งนี้คุณแม่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยของร่างกาย และลูกในครรภ์
บทความที่เกี่ยวข้อง : แม่ท้องปวดท้องน้อยเกิดจากอะไร อันตรายหรือเปล่า?
คนท้องใช้ยาระบายได้ไหม
โดยปกติแล้ว แพทย์จะไม่แนะนำให้แม่ท้องใช้ยาระบายเพื่อรักษาอาการท้องผูก เพราะยาบางชนิดอาจทำให้ร่างกายเกิดภาวะการขาดน้ำ หรือเกิดการหดตัวของมดลูกจนเป็นอันตรายต่อลูกน้อยในครรภ์ได้ นอกจากนี้ การใช้น้ำมันมิเนอรัลที่ช่วยหล่อลื่นอุจจาระ ยังอาจส่งผลให้ร่างกายดูดซึมแร่ธาตุได้ลดลง จนส่งผลเสียต่อตัวแม่ และเด็ก ดังนั้นหากคุณแม่มีอาการท้องผูกอย่างรุนแรง รักษาด้วยตัวเองแล้วไม่หาย ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัย โดยแพทย์อาจสั่งจ่ายยาที่มีไฟเบอร์สูง เพื่อช่วยให้คุณแม่ขับถ่ายได้คล่องขึ้นค่ะ
ท้องผูก อาจเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้กับแม่ท้องทุกคน เพื่อความปลอดภัย คุณแม่ควรรับประทานผัก และผลไม้เป็นประจำ และไม่ควรเบ่งอุจจาระขณะขับถ่าย เพราะอาจทำให้เกิดโรคริดสีดวงได้ หากคุณแม่มีอาการท้องผูก ลองนำวิธีรับมือข้างต้นไปปรับใช้นะคะ เชื่อว่าจะช่วยลดอาการท้องผูกอันน่ารำคาญใจได้อย่างแน่นอน
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
10 ผักใบเขียว ดีต่อแม่ท้อง วิตามินสูง กินแล้วมีประโยชน์
แม่ต้องรู้! อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง สำหรับคนท้อง มีอะไรบ้าง?